วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

9 พฤติกรรมผู้นำใช้เพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

คุณภาพผู้นำ:  9 พฤติกรรมที่ผู้นำใช้เพื่อเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ 
โดย dr. travis bradberry  แปลโดย นพ. มนตรี แสงภัทราชัย  (Coach SmartKid)


กลุ่ม “TalentSmart” ได้ทำการทดสอบประชากรมากกว่าล้านคน และพบว่าร้อยละ 90 ของผู้บริหารที่มีตำแหน่งระดับสูงมักเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) สูงกว่าพนักงานหรือผู้บริหารในตำแหน่งอื่น อีกทั้งมีข้อมูลที่น่าสนใจว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะระมัดระวังที่จะไม่ทำพฤติกรรมบางอย่างเพื่อให้ตัวเองมีสติ และไม่ตกหลุมพรางที่คนอื่นวางไว้  และนี่คือ  9 พฤติกรรม ที่ผู้นำใช้เพื่อเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์และประสิทธิภาพการทำงาน
1. มั่นคงทางอารมณ์ ไม่ตัดพ้อ ไม่เปรียบเทียบ
หากความสุขและความพึงพอใจของคุณเกิดจากการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น คุณก็จะไม่มีความสุขที่แท้จริง  คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์เมื่อพวกเขาเกิดความรู้สึกที่ดีในสิ่งที่ทำ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความคิดเห็นหรือความสำเร็จของคนอื่นมาทำให้ตัวเองหมดความสุข  แน่นอนที่สุดมันมันเป็นเรื่องยากที่จะไม่ตอบโต้กับสิ่งที่ใครต่อใครพูดถึงคุณ อย่าไปสนใจคำพูด/ความเห็นของคนอื่น และอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เพราะว่ามันไม่สำคัญว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับคุณ ยังไงคุณก็ไม่เคยดีหรือแย่อย่างที่คนอื่นบอกอยู่แล้ว
 2. ให้อภัย ปล่อยวาง และจดจำ
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะให้อภัยคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาลืม  การให้อภัยคือการรู้จักปล่อยวางในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเดินหน้าต่อไป และมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณให้โอกาสคนที่ทำพลาด แต่คนที่ฉลาดทางอารมณ์ไม่อยากจะจมอยู่กับความพลาดของคนอื่นโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเขาจึงปล่อยวางอย่างรวดเร็วและมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าด้วยความระมัดระวัง
3. ต้องรอดในสนามรบ
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์รู้ดีว่ามันสำคัญเพียงใดที่จะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้ในวันต่อไป ในความขัดแย้ง เมื่อเราควบคุมอารมณ์ไม่ได้ก็ยิ่งทำให้เกิดการสู้รบที่อาจทำให้เราบาดเจ็บแสนสาหัส ดังนั้นเมื่อคุณอ่านและตามทันอารมณ์จนสามารถควบคุมมันได้ คุณก็สามารถเลือกการต่อสู้ได้อย่างชาญฉลาดและยืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผย
4. ไม่เรียกร้อง ความสมบูรณ์แบบ
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ไม่ได้มองหาความสมบูรณ์แบบ เพราะพวกเขารู้ว่า ความสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่จริง โดยธรรมชาติของมนุษย์ย่อมเกิดความผิดพลาดได้ หากตั้งเป้าหมายคือความสมบูรณ์แบบ คุณก็จะได้รับแต่ความล้มเหลวอยู่ร่ำไป สุดท้ายคุณก็จะรู้สึกเสียดายเวลา และคร่ำครวญถึงสิ่งที่ว่าควรทำให้แตกต่างไปจากเดิมเพื่อจะได้ยินดีกับความสำเร็จ
5. อยู่กับปัจจุบัน ไม่ยึดติดกับอดีต
ความล้มเหลวนอกจากจะกัดเซาะความมั่นใจในตัวเองของคุณแล้ว มันยังขัดขวางภาพความสำเร็จในอนาคตของคุณอีกด้วย ส่วนใหญ่ความล้มเหลวเกิดจากการรับความเสี่ยงและพยายามที่จะเอาชนะสิ่งที่ไม่ง่ายนัก คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์รู้ดีว่าความสำเร็จต้องอาศัยความสามารถของตนเองที่เก่งขึ้นหลังจากการเผชิญหน้ากับความล้มเหลวมาแล้ว พวกเขาจะเก่งขึ้นไม่ได้หากยังยึดติดกับอดีต  ความสำเร็จที่คุ้มค่าก็คือต้องกล้าที่จะรับความเสี่ยงบางอย่าง และจะไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งความเก่งกาจของเราได้  หากคุณยังยึดติดอยู่กับอดีต แน่นอนว่าอดีตของคุณก็จะกลายเป็นปัจจุบันที่คอยฉุดรั้งไม่ให้คุณก้าวหน้าต่อไปได้
6. ไม่หมกหมุ่นกับปัญหา แต่จงมุ่งหน้าหาทางออก
การที่เราจดจ่อกับสิ่งใด สิ่งนั้นจะเป็นตัวกำหนดอารมณ์ของเรา เมื่อคุณจดจ่ออยู่กับปัญหา คุณก็กำลังสร้างอารมณ์เชิงลบและความเครียดให้กับตัวเองจนทำให้เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานของคุณ แต่ถ้าคุณมุ่งเน้นไปที่การกระทำที่นำไปสู่เป้าหมาย คุณก็จะรู้สึกถึงศักยภาพภายในตัวคุณและเกิดความคิดเชิงบวกและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน  คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์รู้ดีว่าพวกเขาจะดึงศักยภาพตัวเองออกมาได้มากสุดเมื่อพวกเขามุ่งเน้นไปที่วิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่การคิดหมกหมุ่นอยู่กับปัญหา
7. อยู่ให้ห่างเหล่ามนุษย์คิดลบ (negative people)
พวกขี้บ่น ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้าย เพราะพวกเขามัวแต่หลงระเริงอยู่กับปัญหาแทนที่จะมุ่งเน้นการแก้ปัญหา คนเหล่านี้ต้องการให้คนมาเห็นใจ รับรู้และมีส่วนร่วมกับปัญหาของตน เพื่อจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้างว่ามีคนพอที่จะเข้าอกเข้าใจบ้าง  คนทั่วไปมักจะรู้สึกอึดอัดกดดันเมื่อต้องมารับฟังคนอื่นบ่น เพราะพวกเขาไม่ต้องการถูกมองว่าใจดำหรือไม่สุภาพ แต่มันก็มีเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างการยืมหูคนอื่นรับฟังเรื่องของตัวเอง กับการดึงคนนั้นเข้าไปอยู่ในวังวนอารมณ์เชิงลบ คุณสามารถหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ได้เพียงแค่กำหนดเกณฑ์ขึ้นมาและขอปลีกตัวเองออกมาเมื่อจำเป็น  ลองเปรียบเทียบสถานการณ์ง่ายๆ อย่างนี้  ~ ถ้าเห็นคนกำลังยืนสูบบุหรี่ คุณจะไปยืนข้างๆ เพื่อดมควันบุหรี่มั้ย ? คุณก็คงเอาตัวห่างออกมาหรือไม่เข้าใกล้  ฉันใดฉันนั้น คุณก็ควรเอาตัวเองห่างออกจากพวกขี้บ่นและเหล่ามนุษย์คิดลบ อีกทางหนึ่งที่ช่วยได้คือการตั้งคำถามให้คนที่กำลังบ่นว่า แล้วคุณตั้งใจจะแก้ปัญหานี้อย่างไรวิธีนี้จะช่วยให้คนนั้นได้เห็นมุมมองใหม่ไม่วนอยู่กับปัญหา และอาจเริ่มการสนทนาในทิศทางที่มุ่งแก้ปัญหามากขึ้น
8. ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น
อารมณ์เชิงลบที่มาพร้อมกับการถือโทษโกรธแค้นเป็นการตอบสนองต่อความเครียดแบบหนึ่ง ความคิดภายในหัวจะมีแต่เรื่องที่ทำให้ร่างกายของเราเข้าสู่โหมดสู้หรือถอย เมื่อเราตกอยู่ในภาวะคับขัน อารมณ์เชิงลบนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของคุณ แต่เมื่อภัยคุกคามนั้นเรื้อรังก็จะกลายเป็นความเครียดที่บั่นทอนร่ายกายจนส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพในที่สุด ในความเป็นจริงนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเอมอรี (Emory University) ได้แสดงให้เห็นว่าความเครียดก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เมื่อคุณไม่ปล่อยวางความแค้นก็หมายความว่าคุณไม่ปล่อยวางความเครียด ซึ่งสำหรับคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์รู้วิธีที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องเหล่านี้ การรู้จักปล่อยวางความแค้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เรียนรู้ที่จะปล่อยวางความโกรธแค้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ยังช่วยให้สุขภาพกายและจิตดีขึ้นด้วย
9. อย่ารับปากถ้าไม่อยากทำ
งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California) ระบุว่า ยิ่งคุณรู้สึกยากที่จะบอกปฏิเสธมากเท่าใดก็ตาม ยิ่งทำให้คุณเผชิญกับความเครียด ความเหนื่อยหน่าย และภาวะซึมเศร้ามากขึ้นเท่านั้น  การบอกปฏิเสธ (saying no) ถือว่าเป็นเรื่องท้าทายของหลายๆ คน คำว่าไม่เป็นคำที่ทรงพลังที่คนส่วนใหญ่กลัวที่จะพูด เมื่อถึงเวลาที่จะบอกว่า ไม่คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ก็จะบอกตรงๆ อย่างสุภาพ และพยายามเลี่ยงคำว่า ฉันคิดว่าฉันทำไม่ได้ หรือ ฉันไม่แน่ใจ" เพราะคำเลี่ยงเหล่านี้มักจะทำให้สุดท้ายเราก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการฝึกพูดปฏิเสธถือว่าเป็นการให้เกียรติตัวเองและทำให้คุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่คุณต้องการทำจริงๆ

Dr. Travis Bradberry  เป็นที่ได้รับรางวัลผู้เขียนร่วมของหนังสือความฉลาดทางอารมณ์ 2.0 (Emotional Intelligence 2.0) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง TalentSmart -ผู้ให้บริการชั้นนำของโลกเรื่องการทดสอบความฉลาดทางอารมณ์, การฝึกอบรมความฉลาดทางอารมณ์และการรับรองความฉลาดทางอารมณ์ หนังสือที่ขายดีที่สุดของเขาได้รับการแปลเป็น  25 ภาษา และได้รับการกล่าวอ้างใน Newsweek, BusinessWeek, Fortune, Forbes, Fast Company, Inc., USA Today, The Wall Street Journal, The Washington Post  และ The Harvard Business Review

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเราปิ๊งคำตอบหรือไอเดียเจ๋งๆ ในห้องน้ำ (AHA moment, Eureka moment ~ The moment of INSIGHT)

AHA moment, Eureka moment - The moment of INSIGHT

                                                                             เรียบเรียงโดย นพ.มนตรี แสงภัทราชัย   (โค้ช SmartKid – Smart Leader Coaching)

 เมื่อพูดถึงคำว่า “EUREKA” ซึ่งเป็นภาษากรีกแปลว่า ฉันค้นพบแล้ว  ทุกคนย่อมคิดถึงอาร์คิมิดิส์ (Archimedes) นักปราชญ์ชาวกรีกที่โลกจดจำ ซึ่งเป็นทั้งนักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ และวิศวกร ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในสมัยคลาสิก ผู้คิดค้นนวัตกรรมเครื่องจักรกลหลายชิ้น ที่โดดเด่นที่สุดชิ้นหนึ่งคือ ปั๊มเกลียว (screw pump)”  หนึ่งในนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ผู้ให้กำเนิดที่มาของวิชาแคลคูลัสสมัยใหม่ ผู้ที่คิดวิธีคำนวณพื้นที่ใต้เส้นโค้งพาราโบลา (parabola) ผู้กำหนดนิยามแก่ "วงก้นหอยของอาร์คิมิดีส (Archimedean spiral)" ผู้คิดค้นสมการหาปริมาตรของรูปทรงที่เกิดจากพื้นผิวที่ได้จากการหมุน (surface of revolution) และคิดค้นระบบสำหรับใช้บ่งบอกถึงตัวเลขจำนวนใหญ่มาก ๆ (exponentiation)
เรื่องเล่าที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดเกี่ยวกับอาร์คิมิดีส คือการที่เขาค้นพบกลวิธีในการหาปริมาตรของวัตถุซึ่งมีรูปร่างแปลก ๆ  สมัยพระเจ้าเฮียโรที่ 2 (King Hiero II) พระองค์ทรงขอร้องให้อาร์คิมิดีสช่วยตรวจสอบว่ามีการฉ้อโกงโดยผสมเงินลงไปในการสร้างมงกุฎทองคำบริสุทธิ์หรือไม่ โดยมงกุฎจะต้องไม่เสียหาย อาร์คิมิดีสใช้เวลาครุ่นคิดอยู่หลายวันก็ยังคิดไม่ออก วันหนึ่งขณะที่เขากำลังแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ เขาสังเกตว่าระดับน้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้นจนล้นอ่าง ทันใดนั้นเองก็เคยความคิดแว๊บขึ้นมาได้ว่า วิธีการนี้สามารถใช้ในการหาปริมาตรของมงกุฎได้ เพราะเมื่อมงกุฎถูกจุ่มลงไปในน้ำ ปริมาตรของน้ำที่ล้นออกมาย่อมเท่ากับปริมาตรของมงกุฎนั่นเอง เมื่อนำปริมาตรมาหารด้วยมวลของมงกุฎ ก็สามารถหาค่าความหนาแน่นของมงกุฎได้ ถ้ามีการผสมโลหะราคาถูกอื่นเข้าไป ค่าความหนาแน่นนี้จะต่ำกว่าค่าความหนาแน่นของทองคำ อาร์คิมิดีสวิ่งออกไปยังท้องถนนทั้งที่ยังแก้ผ้า ด้วยความตื่นเต้นจากการค้นพบครั้งนี้จนลืมแต่งตัว แล้วร้องตะโกนว่า "ยูเรก้า!" (แปลว่า ฉันค้นพบแล้ว!) การทดสอบจัดทำขึ้นอย่างประสบผลสำเร็จ และพิสูจน์ได้ว่ามีการผสมเงินเข้าไปในมงกุฎจริง  

      

หลายครั้งที่บางท่านพยายามคิดหาไอเดียใหม่ๆ หรือพยายามคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกซะที แต่วันดีคืนดีก็มีความคิดเจ๋งๆ หรือคำตอบที่แว๊บเข้ามาในหัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตอนที่เราไม่ได้คิดเรื่องหนักหัวพวกนั้น เช่นขณะขับรถเพลินๆ ขณะกำลังอาบน้ำ หรือขณะทำภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำ ความคิดหรือคำตอบที่แว๊บเข้ามานั้นเร็วมากจนเรากลัวที่จะลืมต้องรีบหาอะไรมาจดไว้ซะก่อน ความคิดหรือคำตอบที่แว๊บเข้ามานั้นอาจเรียกชื่อว่าเป็นEureka moment (ยูเรก้า โมเม้นท์)หรือ Aha moment (อะฮ้า โมเม้นท์) หรือคำที่คนไทยใช้บ่อยๆ คือ ปิ๊งไอเดีย !บางท่านอาจเรียกว่าปิ๊งแว๊บ !


          นักวิทยาศาสตร์ทางด้านสมองและระบบประสาทได้ศึกษาปรากฎการณ์ “Eureka moment” และค้นพบว่าการปิ๊งไอเดียนั้น เป็นเหตุการณ์ช่วงสั้นๆ ที่คนคนหนึ่งเกิดญาณตระหนักรู้แจ้งเห็นจริงอย่างกระจ่างชัด (moment of insight) และการที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้ สมองของคนคนนั้นจะต้องรู้สึกผ่อนคลายเพื่อให้สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นสมองด้านความคิด (executive area) สามารถส่งสัญญาณประสาทเชื่อมโยงกับสมองที่อยู่ด้านหลังได้ดีขึ้น ทำให้เกิดการกระตุ้นกลีบของสมองข้างขวาที่ชื่อว่า anterior superior temporal gyrus ซึ่งเป็นสมองพื้นที่เล็กๆ บริเวณเหนือใบหูด้านขวาของเรา เป็นที่บรรจุประสบการณ์การเรียนรู้รวมถึงสัญชาติญาณที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้สมองส่วนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบทำให้เกิดการปิ๊งไอเดีย หรือ moments of insight 


นักวิจัยค้นพบว่าประมาณ 5 วินาทีก่อนที่เราจะเกิด “eureka moment” สมองเราจะสร้างคลื่นไฟฟ้าสมองที่มีความถี่อยู่ในช่วงอัลฟ่า (ความถี่ประมาณ 8 ถึง 12 เฮิร์ต) ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าสมองที่สามารถกรตุ้นกลีบสมองส่วน anterior superior temporal gyrus  

คลื่นความถี่อัลฟ่าเหล่านี้ปกติจะเกิดในขณะที่เราผ่อนคลาย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงปิ๊งคำตอบหรือไอเดียเจ๋งๆ ได้ขณะที่เราไม่เครียด หรือขณะกำลังเดินเล่น หรือขณะขับรถฟังเพลง ขณะอาบน้ำ หรือแม้กระทั่งขณะที่เรากำลังประกอบกิจวัตรประจำวันในห้องน้ำ

References:

  1. http://en.wikipedia.org/wiki/Archimedes (Retrieved May 4th, 2015)
  2. Erin Brodwin. Here’s where ‘aha!’ moments come from. www.businessinsider.com (Retrieved May 5th, 2015)
  3. www.blog.pickcrew.com Posted by Mikael Cho (Retrieved May 5th, 2015)






วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

“อารมณ์กับการตัดสินใจ” - สงครามระหว่างสมองสองด้าน

อารมณ์กับการตัดสินใจ สงครามระหว่างสมองสองด้าน

เรียบเรียงโดย นพ.มนตรี แสงภัทราชัย  (โค้ช SmartKid )

   
     มีผู้กล่าวว่าในแต่ละวันสมองของมนุษย์ใช้ความสามารถเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แล้วอีก 90 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือล่ะ หากเรากระตุ้นให้สมองทำงานได้มากขึ้น...
เราจะฉลาดขึ้น? 
ตัดสินใจได้ดีขึ้น? 
เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาหลายทศวรรษเพื่อตอบข้อสงสัยเหล่านี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างเต็มปากนัก มีเพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าสมองแต่ละส่วนมีบทบาทและทำหน้าที่เฉพาะแตกต่างกันไป และมนุษย์ก็ใช้สมองหลากหลายส่วนพร้อมกันเพื่อการดำรงชีวิตในแต่ละวัน

    สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการรวมถึงการตัดสินใจนั้นได้แก่สมองส่วนหน้า (frontal lobe หรือ neocortex)  ที่ได้ชื่อว่า neocortex ก็เพราะสมองส่วนนี้จะค่อยๆ พัฒนาจนทำงานได้เต็มที่เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น นั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กน้อยจึงยังไม่สามารถฟอร์มความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลในเชิงตรรกะได้มากนัก
          สมองส่วนที่ควบคุมเรื่องอารมณ์ทำงานเป็นเครือข่ายเรียกว่าระบบลิมบิก (limbic system) โดยมีกองบัญชาการหลัก 2 ที่คือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) และ อะมิกดาลา (Amygdala) (ถูกตั้งเป็นชื่อเดียวกับเจ้าหญิงอะมิกดาลาในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์) ซึ่งกองบัญชาการทั้งสองนี้ตั้งอยู่ติดกันบนตำแหน่งใกล้แนวกึ่งกลางสมอง  ทุกครั้งที่เราเผชิญกับข้อมูลที่ต้องตัดสินใจหรือปัญหาที่ต้องแก้ไข สมองทั้งส่วนความคิดและอารมณ์จะถูกกระตุ้นอย่างหนักและทำงานเชื่อมโยงกันเสมอ 



     ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันจากการถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ของคนที่กำลังใช้ความคิดเพื่อตัดสินใจ จะเห็นว่าบริเวณสมองส่วนหน้าบริเวณ frontopolar cortex (หรือที่รู้จักกันดีในนามของ executive area ในสมอง) และตำแหน่งบริเวณกลางสมองที่ควบคุมด้านอารมณ์จะมีการใช้พลังงานมากกว่าสมองส่วนอื่นๆ (ภาพประกอบจากวารสารวิชาการ ‘Nature’) 



อารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นในการตัดสินใจ
          สมองด้านอารมณ์ทำงานโต้ตอบกับสิ่งเร้าได้รวดเร็วกว่าสมองด้านความคิด เพราะมันทำงานโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความคิดไตร่ตรอง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งถึงไม่ค่อยเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของเราแต่กลับมานึกได้ทีหลังว่ารู้สึกโกรธ  คุณเคยมีประสบการณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบหน้าใครบางคนตั้งแต่แรกเห็นโดยที่ยังไม่ทันรู้จักบ้างมั้ย นั่นล่ะคือ สมองเจ้าอารมณ์ ของคุณทำงานไปเรียบร้อยแล้ว บางคนจะเรียกความรู้สึกอย่างนี้ว่าญาณหยั่งรู้ส่วนตัว หรือ ลางสังหรณ์ส่วนตัว หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า gut feeling
           
         สมองเจ้าอารมณ์ของพวกเราจะทำงานรวดเร็วกว่าสมองเจ้าความคิดประมาณเสี้ยววินาที การฝึกทำความเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้นให้ได้ในช่วงเศษเสี้ยววินาทีนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยปรับปรุงความสามารถในการตัดสินใจของพวกเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เราอาจเรียกความสามารถนี้ว่า ความสามารถในการครองสติและรู้เท่าทันสติเพราะอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราได้ตัดสินใจไปแล้วล้วนส่งผลต่ออนาคตของเราทั้งสิ้น


    อารมณ์หรือความรู้สึกที่หลากหลายเป็นตัวจุดประกายเริ่มแรกสำหรับทุกการตัดสินใจเสมอ เหมือนกับเป็นทางลัดของจิตที่เร่งให้เราตัดสินใจเร็วขึ้น อารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลจำนวนมาก มันจะช่วยให้เราเลือกการตัดสินใจที่คิดว่ามีความเป็นไปได้ดีที่สุดที่เหมาะกับตัวเรา  ทำให้เราข้ามขั้นตอนความคิดไปได้อย่างรวดเร็ว สมองเหนื่อยน้อยลง ..ถามว่าดีมั้ย ? งั้นเราลองมาแตกประเด็นรายละเอียดเรื่องนี้กัน ...

     สมองของเราสามารถคิดเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างน้อย 4 ถึง 7 เรื่องพร้อมกัน สิ่งนี้ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีเหตุมีผล แต่อะไรจะเกิดขึ้นหากสมองของเราคิดตัวเลือกไว้มากเกินไปจนยากที่จะจดจำหรือเปรียบเทียบ สิ่งที่จะรี่เข้ามาช่วยเลือกคำตอบให้คือสมองด้านอารมณ์ซึ่งปกติก็ทำงานได้รวดเร็วกว่าสมองด้านความคิดอยู่แล้ว

    บ่อยครั้งที่เราได้รับข้อเท็จจริงมากมายท่วมท้น ข้อมูลมหาศาลเหล่านี้จะถูกอัดแน่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของญาณหยั่งรู้ หรือ gut feeling สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกวันเช่นเวลาที่คุณต้องเลือกเมนูมื้อกลางวัน เลือกเพื่อนร่วมชีวิต หรือการตัดสินใจเรื่องสำคัญในที่ทำงาน อารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ หรือ ความรู้สึกล่วงหน้า (hunch)  ถือว่าเป็นผู้นำสารที่สำคัญมาให้คุณ ดังนั้นการตรวจสอบว่าลางสังหรณ์ของคุณถูกต้องแม่นยำเพียงใดก็เป็นความคิดที่เข้าท่าเหมือนกัน



เราลองมาคิดเรื่องนี้ดูว่าเป็นอย่างไร?
ความเชื่อ:ถ้าต้องตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ทั่วไป ก็ไม่ค่อยมีผลกับอารมณ์ของฉันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญคอขาดบาดตายฉันก็จะไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจ ดังนั้นหากฉันสามารถเรียนรู้วิธีสกัดกั้นอารมณ์ของฉันได้ ฉันก็สามารถตัดสินใจได้อย่างยอดเยี่ยม

ความจริง: ความเชื่อดังกล่าวไม่มีทางเป็นไปได้ ซ้ำร้ายเราไม่สามารถจะตัดสินใจอะไรได้เลยถ้าไม่มีสมองด้านอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าสมองส่วนนี้ถูกทำลายหรือบาดเจ็บ การตัดสินใจแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ ก็จะยากขึ้นทันที เช่นจะใช้ปากกาหมึกดำหรือหมึกน้ำเงิน และเมื่อเราตัดสินใจเลือกได้แล้ว เราก็จะไม่มั่นใจในสิ่งที่เลือก วนเวียนเป็นวัฏจักรแห่งความลังเลเรื่อยไป



แล้วเราจะควบคุมอารมณ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเราได้อย่างไร?
     1.  ทำความเข้าใจว่าปฏิกิริยาตอบโต้ทางอารมณ์ทุกครั้งขึ้นอยู่กับความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) ของแต่ละคน เมื่อเกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง ตัวเราจะรู้สึกร้อน กว่าปกติ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกที่ฝ่ามือ ปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ส่งผลชัดเจนต่อการตัดสินใจของเรา
      2. กลุ่มอารมณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยให้เราระแวดระวังเรื่องการสูญเสีย และช่วยให้เรารู้สึกเหมือนมีพลังฮึกเหิม เช่นถ้าคุณขับรถแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน คุณจะใช้เวลาเพียงเศษเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจที่จะไม่ทำให้ตัวเองเกิดอุบัติเหตุ หรือสามารถควบคุมรถไม่ให้พุ่งไปชนคันอื่น สำหรับการตัดสินใจบางเรื่องที่ไม่ฉุกเฉิน กลุ่มอารมณ์ประเภทนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกัน แต่คุณมีเวลาในการตัดสินใจนานกว่า
      3. เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่สำคัญ ลองใช้ลางสังหรณ์ของคุณ ลองถามตัวเองว่าเราพยายามจะหลีกเลี่ยงอะไรหรือเราได้ประโยชน์อะไร เรามักใช้ 2 คำถามนี้ถามตัวเองอยู่เสมอในทุกๆการตัดสินใจ และจงซื่อสัตย์กับตนเอง รวมถึงหมั่นตรวจสอบผลกระทบของอารมณ์ความรู้สึกนี้ในการตัดสินใจของคุณ
     4. ท้ายสุด ลองถามตัวเองว่าการตัดสินใจของคุณจะแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่หากคุณ ตัดเรื่องอารมณ์ออกไป


แหล่งข้อมูล:
1. Tremaine Du Preez. Book: Think Smart, Work Smarter: A Practical Guide to Solving Problems Faster (Success Skills Series) – July 15, 2011
2. John Pearson, Michael L Platt. Dynamic decision making in the brain. Nature Neuroscience 2012:15; 341-2.
3. NIMH – Perception decision making hub pinpointed in human brain. http://www.nimh.nih.gov/news/science-news/2004/perceptual-decision-making-hub-pinpointed-in-human-brain.shtml (Retrieved on April 30th, 2015)
4. http://brainsurgeryinc.com/emotion-reason-decision (Retrieved on May 1st, 2015)